วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อุดมการณ์ หรือ คลั่ง ห่างกันแค่เส้นบางๆ


องสามวันมานี้ ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์ที่ข้องเกี่ยวกับประเทศในย่านเอเชียตะวันออก อย่าง จีน เกาหลี และญี่ปุ่น กล่าวถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพยายามใช้ข้ออ้างทางประวัติศาสตร์ มาสร้างความชอบธรรมให้กับการสังหารผู้บริสุทธิ์ เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ตามความคลั่งในอุดมการณ์ทางประวัติศาสตร์ของตน เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ แม้จะเป็นนิยาย แต่กลับทำให้ผมฉุกคิดถึงอะไรได้หลายอย่าง...

...ปัญหาในภาคใต้ของประเทศไทย จะว่าไปแล้ว ไม่ค่อยแตกต่างจากเรื่องราวในย่อหน้าแรกสักเท่าไร มีกลุ่มคนที่พยายามอ้างเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้ เพื่อสร้างให้เกิดความชอบธรรมกับพรรคพวกของตนเอง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นคงจะคิดว่าประวัติศาสตร์ของตนนั้นถูกต้องเสมอ เมื่อหมกมุ่นอยู่กับประวัติศาสตร์ในมุมมองของตนจนกลายเป็นอุดมการณ์ และเป็นความคลั่งชาติอย่างที่สุด

ความคลั่งชาตินี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก อย่างที่คุณ สอาด จันทร์ดี อดีตคอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์บ้านเมืองและหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับ ได้เขียนไว้ในหนังสือ กะเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ? ตอนหนึ่งว่า

การที่ผมได้โอกาสทำงานในดินแดนอันตราย อยู่ในพื้นที่ด้วยตัวเอง ผมจะต้องแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง
ไม่ใช่นั่งเทียนเขียน ไม่ต้องรอสอบถามจากใคร ผมตระเวนไปเงียบๆ เอาตัวเข้าไปนั่งในร้านอาหาร เอาตัว
ไปหาข่าวในที่ต่างๆ ผมได้รู้ความจริงโดยไม่ยาก เพราะว่าในหมู่บ้านทั้งหลาย เขาพูดกันอย่างไม่ปิดบัง พวก
โจรกับชาวบ้านเขาอยู่ด้วยกัน ปะปนรู้จักหน้าตา รู้ว่าเป็นลูกหลานของใคร ไปเรียนวิชากองโจรมาจาก
ประเทศไหน มีการส่งข่าวประสานงานกันอย่างทั่วถึง และ รวดเร็วมาก ผมรู้ความจริงทุกคนพร้อมรบ ไม่ว่า
จะเป็นหญิงหรือชาย

หูผมได้ยินเขาพูดกันว่า เขาฆ่าตัดคอยังน้อยไป แท้ที่จริงจะต้องฆ่าล้างโคตร.......!! ผมตกใจที่ได้ยิน นึกไม่ถึงเลยว่า ประเทศไทยจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นไปแล้ว ชาวบ้านถูกฆ่าทิ้งอย่างป่าเถื่อน โจรวางระเบิดสังหารไปทั่ว ทหารไม่มีวันรู้ดอกว่าใครเป็นโจร แต่โจรสามารถที่จะฆ่าตำรวจทหาร ได้ตลอดเวลา ผมได้รวบรวมความกล้า ถามเอากับคนที่ควรถาม ถามว่า "เพราะอะไร...?" ได้รับคำตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาบอกว่าเขาไม่ใช่คนไทย เขาเกลียดคนไทย เขาจะทำอะไรก็ได้ เพื่อจะกวาดล้างคนไทยออกไป แล้วประกาศว่า เขาคือนักรบ พวกเขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย...

คุณสอาด จันทร์ดี ยังเขียนต่อมาว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้มาจากการทำงานโรงงานแยกแก๊สในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งมีเวลาได้ทำความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือ โทน หรือ
คีย์แมนโทน ตามการนิยามชื่อของคุณสะอาด

คีย์แมนโทน เผยให้ฟังว่า พวกโจรวางแผนแนบเนียนมาก จะใช้วิธีปลดปล่อยชาวบ้านให้พ้นอำนาจรัฐดูแลกันเองไปพลาง ๆ ก่อน เป็นการหลอกพวกอำนาจรัฐไทยว่า ไม่ได้คิดแบ่งแยกดินแดน แต่พอถึงจุดชี้ขาด จะใช้พลังชาวบ้าน ๒ ล้านคนรวมตัวกันประกาศปกครองตนเอง จัดตั้งรัฐปัตตานีขึ้น....ผมเชื่อคีย์แมนโทน....เขา
รู้จริง พูดแต่เรื่องจริงให้ฟัง

สิ่งที่คุณสอาดถ่ายทอดออกมานี้ มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อปรากฏแถลงการณ์ฉบับล่าสุดของกลุ่มพูโล ที่อ้างว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายที่ต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดน แต่กระทำไปเพื่อเสรีภาพของชนชาวมลายูในปัตตานี แถมยังกล่าวอ้างอีกว่า  ดินแดนภาคใต้ของไทยคือแผ่นดินโลกที่ไม่สามารถตัดแบ่งได้ และขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการ

ที่น่าสังเกตก็คือว่า...  การออกแถลงการณ์แบบนี้ของพูโล หากเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามสถานการณ์ หรือไม่มีข้อมูลเชิงลึก คงจะคิดว่า พูโลนี่เท่เหลือเกิน และทำในสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว หากความจริงเป็นเพียงแค่การแสดงบทบาทพระเอกหน้าจอเพียงเท่านั้นเอง ไม่ใช่เพราะพูโลนี่หรือที่ปลูกฝังแนวคิดแบบชาตินิยมให้กับคนในพื้นที่จนฝังหัวกลายเป็นคนที่มองไม่เห็นชีวิตคนเป็นคน และไม่ใช่พูโลนี่หรือที่เคยอวดอ้างว่าควบคุมกองกำลังเกือบทั้งหมดที่เคลื่อนไหวในพื้นที่ พูโลเพียงแค่เล่นตลกหลอกชาวโลกไปวันๆ ในขณะเดียวกันกลับไม่สะทกสะท้านกับแนวคิดแบบผิดๆ ของชาวบ้านในพื้นที่ที่เป็นผลพวงมาจากการกระทำของตนเองเลยสักนิดเดียว

ผลพวงนี่แหละคือผลพวงของการปลูกฝังแนวคิดแบบคลั่งชาติ ชาตินิยมแบบสุดโต่ง ฆ่าได้โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายนั้นมีชีวิตจิตใจ มีเลือดมีเนื้อ และมีครอบครัวที่จะต้องดูแลเหมือนๆ กัน ...เขียนมาถึงตอนนี้ ทำให้ผมหวนคิดถึงคำสอนของ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ที่ท่านได้เทศนาไว้ว่า

ไม่ว่าจะเป็น พุทธ-คริสต์-อิสลาม, ขวา-ซ้าย, เหลือง-แดง, อำมาตย์-ไพร่ ก่อนที่เราจะเป็นอะไรพวกนี้ เราเป็นมนุษย์ และความเป็นมนุษย์สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดที่กล่าวมา เมื่อยึดถืออุดมการณ์อะไรก็ตาม เราก็ควรรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ และพยายามมองเห็นคนอื่นให้เป็นมนุษย์ด้วย

ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นชาวบ้านจริงๆ เขาเข้าใจดีในหลักคำสอนแบบพุทธนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นมุสลิม ผมได้รับทราบข้อมูลจากชาวปัตตานีคนหนึ่ง เขาบอกว่าปัจจุบันอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างไทยพุทธและมุสลิม พักพิงพึ่งพาอาศัยกันเสมือนพี่น้อง ประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไม่ได้เป็นอุปสรรค หรือปัญหาของการอยู่ร่วมกันและดำเนินชีวิต เมื่อเทศกาลงานบุญของใครมาถึงก่อน มีการแบ่งปันข้าวปลาอาหารถึงกันและกันโดยมิได้แยกแยะถึงความแตกต่างศาสนาแต่อย่างใด.. เพื่อนๆ ที่เป็นมุสลิมเขาก็ไม่ได้มีความสุขกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า...

เห็นทีจะเหลือแต่กลุ่มพูโลเนี่ยแหละ เมื่อไหร่จะตักเตือนคนของตัวเอง เมื่อไหร่จะร่วมกันสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้น เมื่อไหร่จะช่วยอบรมบ่มนิสัยคนที่คิดผิดๆ ให้กลับใจ อยู่ร่วมกับคนอื่นแบบสันติ ไม่คิดยึดติดในอุดมการณ์จนเกินไป ... เกินจนไม่เห็นค่าของชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย.

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

OIC visits to southern Thailand not agree with the separatist group condemning the violence as against the religion.

Special Representative of the Secretary-General of the OIC Islamic Cooperation visited to southern Thailand stated the position of the OIC does not intervene in politics and emphasized to against the fight of the separatist movement. They also condemned the violence committed against the people in the area that contrary to the principle all Muslims and Islam have followed and that the damage was the killing of a human life is like to establish an ensemble human being while the security law should has not been a rights violation.

H.E.Mr.Sayed Kassem El-Masry, advisor and special envoy of the Secretary-General of the Organization of the Islamic or the OIC and his fellow tripped down to Southern Thailand on Wednesday 9, May 2012 to meet with the Secretary General of the Southern Border Provinces Administration Centre (SBPAC) and several dignitaries for participating number of activities within the area.

The meeting held at the conference room of SBPAC listening to a briefing on the situation and direction of the solution. Prior to the meeting, Mr. Sayed Kassem met and talked with the Graduate School students, about 200 people gathering for a reception.

He said in the early part of the welcome that this is the third trip visiting Thailand, but it’s a second time for southern provinces. It’s an opportunity to meet with senior people in government which making an impression to the development of the unrest in southern border provinces and positively impressed by the Government to focus on education - the focus on local language (Bahasa Melayu) in educational institutions of the state. As well as other relevant agencies to focus on talking to all parties is an important step that will lead to an understanding in the future.

"The issue in the South is not a religious issue. The problem is as a common occurrence in countries with ethnic minorities in general, so the solution is to adopt peaceful means to build understanding and respect for acceptance of each other. The approach will lead to real peace. I’ve noted that in the future government will revoke the declaration an emergency situation with fatal and will return to the normal sense. I am glad because I know that the emergency law is resulting human rights abuses which it was the OIC has been concerned".

OIC will not intervene in Thailand domestic, not support separatism and will be condemning the separatist as evil.

Mr. Sayed Kassem said to the violence occurred that OIC has paid attention to and seek the cooperation between the government of Thailand and the OIC. In 2007, the OIC Secretary General, Mr.Ekmeleddin Ihsanoglu, and the Thai government have signed a joint statement which is a partnership based on respect. The OIC does not interfere in the internal affairs of the country and pay much attention to the problem of Thailand not only to Muslims but also focus to all people of all religions.

He added “From the violence that occurred in the area, OIC strongly condemns the violence at all levels as the killing of innocent people, whether Muslim or Buddhist people of Thailand, as The Qur'an said killing one life is like killing the whole world. The government should use peaceful means to resolve this issue and the OIC has not supported the separatist movements to separate the country.

Discussing with the NSC Secretary and both parties agree the conflict is not religious issue.

On the day, Mr. Sayed Kassem has also led high-ranking officials of the OIC to meet and discuss with the Secretary of National Security Council (NSC) at the Government House in policy solving the problem and to monitor the border provinces of Thailand, especially in the Muslim provinces. He said that it is the correct policy and has been recognized by all sectors which had a referendum with Muslims of Pakistan and Malaysia. The Special Representatives of the OIC have applauded this policy as well.

"The consensus in this discussion of violence that occurs in the provinces is not a religion. But as the historical conflict or different cultures which has accumulated without resolving in the right way" the NSC secretary said in the end.

-----------------------------

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Roles of OIC and the idle dream of Patani



"Patani" is just a word that group of insurgents often used to represent the division of land as an independent state. Though, they are only a small fraction of the Muslim community in southern Thailand, but causing more suffering and losses to the Thai Muslims in the area. The Tak Bai and Kresik incidents in 2004 till the bombing in Songkhla and Yala on 31 March 2012 are the reason why the government requires “State of Emergency Acts” in southern Thailand, although it will phase out in some areas today.



If you look at the separatist movement is still some small minority groups. There are different methods of movement such as creating violence in Thailand to obtain financial support from foreign as the BRN does while PULO, an another group who claim as leader of the separatists, has an aptitude in the use of media propaganda distort the news attacking on the government to oppress his Muslim to seek donations from Muslims and Muslim organizations and claim a violation of human rights looking for the intervention of many countries in order to create legitimacy for the secessionist but such a behavior is self-abuse. In particular, causing dead to innocent Muslims and the leaders can not control the incidents so the majority of Muslim in the area is realize that State of Emergency can help reduce the severity from its root and only thief who want to cancel it.



After the bombings in Yala and Songkhla on 31 Mar 12, It appeared that local and international Muslim organizations jointly condemned the disturbance of insurgency movements such as the United Nations, Amnesty International. Islamic Cooperation (OIC) and Mr. Samae Haree, President of an Islamic community of Yala, revealed that the disturbance is often claimed as doing for their ethnic Malay. But they did not meet the rule of religion that making innocent people suffer and die.



The visit to Thailand of high representative of the Islamic Organization on 7-13 May 12 at the invitation of Thai Foreign Minister demonstrate openness and the freedom to know the fact of situation in southern Thailand as open up the opportunity for representatives of OIC to meet community groups and graduate school students from southern Thailand. An issue covered by the policy of the King "Understanding, Reach and improving". The Ambassador Sayed Kassim el Masri an Advisor and Special Envoy of the OIC Secretary-General was pleased with the development in a better direction since the visit 5 years later. The OIC has acknowledged a cancellation of the State of Emergency in some areas of Southern Thailand and requests Thailand to cancel it in other areas. The Thai side expressed its readiness to terminate depend on the situation in those area. Both sides have cooperated well with each other.



Some analysts have stated that the OIC is trying to influence the severity of the attempt of the separatists by encouraging separatist groups gathered in the name "The United Patani People Concil (UPPC)" to find the righteousness of people in the Southern area. The question is to determine which of the people in the area wanting that right? Whereas the people is concerning of how to make their life and to live peacefully. They do not even think of any way to divide the land and the OIC, which is an international organization, does not exist as a state that is neutral in any negotiations. Besides, OIC has been repeatedly stressed again and again that "Do not support the separatists from Thailand, not interfere Thai authorities and blame anyone who cause the unrest" while the security agency of Thailand confirmed that there would be no negotiations with bandits, because it is illegal. And may allow the chance for separatists to negotiation which is impossible" so that hopes of the minority is just an idle dream in the country where has freedom for all Thai people.








วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความฝันอันเลื่อนลอยของปาตานีกับบทบาทโอไอซี

               “ปาตานี” เป็นคำที่กลุ่มก่อความไม่สงบมักนำมาใช้เพื่อสื่อถึงการแบ่งแยกดินแดนเป็นรัฐอิสระ และแม้ว่ากลุ่มคนดังกล่าวจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในสังคมมุสลิมส่วนใหญ่ที่อยู่ในภาคใต้ของไทย แต่สร้างความเดือดร้อนและความสูญเสียให้กับมุสลิมไทยในพื้นที่มิใช่น้อย ตั้งแต่เหตุการณ์ตากใบและกรือเซะ ปี47 จนถึงเหตุการณ์ระเบิดที่ จ.สงขลา และ จ.ยะลา เมื่อ 31 มี.ค.55 และนั้นคือเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ปี 48 ในพื้นที่ชายแดนใต้ของไทยจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าจะทยอยยกเลิกไปแล้วในบางพื้นที่ก็ตาม
                หากมองที่ขบวนการเคลื่อนไหวแบ่งแยกดินแดนยังคงมีหลากหลายกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย มีวิธีการเคลื่อนไหวต่างกันเช่น การเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์รุนแรงในไทยเพื่อขอรับเงินสนับสนุนจากต่างประเทศของกลุ่ม BRN ขณะที่กลุ่ม PULO มีความถนัดในการใช้สื่อโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข่าวสาร มุ่งโจมตีรัฐบาลว่ากดขี่ข่มเหงพี่น้องมุสลิมเพื่อขอบริจาคจากคนมุสลิมและองค์กรมุสลิมระหว่างประเทศและอ้างเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อคนมุสลิมเพื่อหวังให้องค์กรต่างประเทศต่าง ๆ เข้ามาแทรกแซงเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแบ่งแยกดินแดน แต่หารู้ไม่ว่าพฤติการณ์ดังกล่าวกลับยิ่งประจานตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะการก่อเหตุโดยไม่เลือกเป้าหมายทำให้ผู้บริสุทธิ์ชาวมุสลิมบาดเจ็บล้มตายมากขึ้น และอยู่ในสภาวะที่แกนนำไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่เห็นประโยชน์ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าสามารถช่วยลดเหตุรุนแรงได้จากต้นต่อ(ผู้ก่อเหตุ) และมีแต่ฝ่ายโจรเท่านั้นที่เดือดร้อนและต้องการให้ยกเลิก
                ภายหลังเหตุระเบิดที่ จ.ยะลา และ จ.สงขลา เมื่อ 31 มี.ค.55 ปรากฏว่ามีองค์กรมุสลิมทั้งในและต่างประเทศร่วมกันประณามการก่อเหตุของขบวนการก่อความไม่สงบ อาทิ สหประชาชาติ องค์การนิรโทษกรรมสากล องค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) และนายสะมะแอ ฮารี ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา เผยว่ากลุ่มก่อเหตุมักอ้างว่าทำเพื่อชาวมลายู แต่สิ่งที่พวกเขาทำไม่ถูกหลักศาสนาทำให้ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ต้องรับเคราะห์และเสียชีวิต
                การเดินทางเยือนไทยของผู้แทนระดับสูงขององค์กรความร่วมมืออิสลามช่วง 7-13 พ.ค.55 ตามคำเชิญของ รมว.กต.ไทยแสดงให้เห็นถึงการเปิดกว้างทางสิทธิเสรีในการรับทราบข้อเท็จจริงจากสถานการณ์ภาคใต้ของไทย โดยเปิดโอกาสให้ผู้แทน OIC พบปะชุมชุมและกลุ่มบัณฑิตอาสาในพื้นที่ จชต. มีการชี้แจงนโยบายแก้ไขปัญหาครอบคลุมตามแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ซึ่งเอกอัครราชทูตซาเยด คัสเซม เอลมาสรี ที่ปรึกษาและผู้แทนพิเศษของเลขาธิการ OIC กล่าวรู้สึกยินดีกับการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น นับตั้งแต่การเยือนเมื่อปี 50 โดยผู้แทน OIC  รับทราบการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินบางพื้นที่ใน จชต.และขอให้ไทยพิจารณายกเลิกในพื้นที่อื่นต่อไป ซึ่งฝ่ายไทยแสดงความพร้อมจะยกเลิก หากสถานการณ์ในพื้นที่อำนวย ทั้งสองฝ่ายมีความร่วมมือระหว่างกันอย่างดี
                นักวิเคราะห์บางท่านระบุว่า OIC พยายามเข้ามามีบทบาทต่อปัญหาความรุนแรงจากความพยายามของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยผลักดันให้กลุ่มแบ่งแยกดินแดนรวมตัวกันในชื่อ “สภาประชาชนปาตานี”  United Patani People Concil (UPPC) เพื่อหาความชอบธรรมให้กับคนในพื้นที่ 3 จชต. คำถามคือ? จะหาความชอบธรรมให้กับผู้ใดในเมื่อคนในพื้นที่ จชต.ส่วนใหญ่สนใจปากท้องและการใช้ชีวิตอย่างสันติสุข และไม่เคยแม้แต่จะคิดเรื่องการแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด อีกทั้ง OIC ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐที่จะมาเป็นกลางในการเจรจาใดๆได้ มิหน้ำซ้ำยังได้ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ไม่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศไทย-ไม่แทรกแซงไทย-ประณามกลุ่มก่อเหตุไม่สงบ”  ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยยืนยันชัดเจนว่าจะไม่มีการเจรจากับโจรเพราะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และอาจเปิดช่องให้ต่อรองแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”  ดังนั้นแล้วความหวังของคนกลุ่มน้อยในพื้นที่ จชต.ที่จะแบ่งแยกดินแดนคงเป็นเพียงความฝันอันเลื่อนลอยในประเทศไทยที่เปิดเสรีให้กับประชาชนคนไทยทุกคน

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ความจริงที่ไม่กล้ายอมรับ

โลกปัจจุบันเป็นยุคของสังคมข่าวสาร ข่าวสารทุกอย่างล้วนมีมุมมองหลากหลาย เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของไทย โดยมีกลุ่มที่ออกตัวแรง เช่น กลุ่มพูโล อ้างว่าเป็นผู้เคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยดินแดน แต่กลับไม่กล้าแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำสักเท่าไหร่ เกิดเหตุอะไรขึ้นมาก็โยนบาปให้คนอื่นตลอดเวลา
หลายต่อหลายครั้ง พูโล ยังไม่เคยเปลี่ยนกลยุทธ์ ใช้ยุทธวิธีแบบเดิมๆ จนถูกจับได้คาหนังคาเขา หลายชีวิตของขบวนการที่ถูกสังหารคาที่ ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้ก่อเหตุรุนแรง เป็นสมุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน แต่พูโลกลับไม่กล้าที่จะบอกว่าคนเหล่านั้นเป็นของตน ขี้ขลาดตาขาว โยนบาป โยนขี้ให้เจ้าหน้าที่รัฐไทยอยู่ร่ำไป หาว่าฆ่ากันเองบ้างละ หาว่าสร้างสถานการณ์บ้างละ
โถ ลองใช้สติไตร่ตรองดูดีๆ เถอะ จะฆ่าคนของชาติตัวเองเพื่อดิสเครดิตพูโลไปเพื่ออะไร? ทำไมต้องทำแบบนั้น ในเมื่อกลุ่มพูโลเป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่สติไม่สมประกอบ ยึดติดอยู่กับอดีตอันหอมหวานของอาณาจักรในอดีตซึ่งเป็นเพียงแค่คำบอกเล่าต่อๆ กันมาเท่านั้น ไม่มีคุณค่าอะไรเลยที่จะต้องแลกด้วยชีวิตคน
หรือพูโลกำลังคิดว่า คนอื่นจะใช้วิธีการเดียวกับตนเอง? ในการฆ่าคนบริสุทธิ์ หรือ ใช้คนบริสุทธิ์เป็นเหยื่อเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตน เหตุผลนี้ดูจะฟังขึ้นมากกว่าเสียอีก
ล่าสุด กรณีเว็บไซต์พูโล โดน “โคลนนิ่ง” จนถึงกับต้องออกแถลงการณ์ใหญ่โต ถึงขั้นต้องพาดหัวตัวใหญ่อวดอ้างสรรพคุณว่าตนเอง เป็นทีมงานที่ให้ข้อมูลที่โปร่งใส ตรงไปตรงมา พร้อมกับกล่าวหาว่าคนที่คัดลอกรูปแบบเว็บไซต์ และเผยแพร่ข่าวสารข้อเท็จจริงอีกด้านหนึ่งเป็นคนวิกลจริต...
สงสัย พูโล จะเป็นพวกหลงยุคจริงๆ เลยไม่เข้าใจว่า โลกของสังคมข่าวสารในปัจจุบัน ต้องเปิดรับข้อมูลจากทุกๆ ด้าน ต้องมีข้อมูลโต้แย้ง เพื่อให้คนที่รับข่าวสารได้มีโอกาสวิเคราะห์ว่าจะเชื่อใคร หรือข้อมูลไหนเท็จจริงมากกว่ากัน
เห็นพฤติกรรมแบบนี้แล้ว มันอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าพูโลกลัวอะไรกับเว็บไซต์ที่โคลนนิ่งรูปแบบ และ ให้ข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ... หรือว่าซุกซ่อนอะไรไว้ ดูท่าจะหวาดกลัวเหลือเกินว่าแนวร่วมที่เคยหลงผิดคิดว่าพูโลดีเลิศประเสริฐศรี จะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วพูโลเป็นเพียงกลุ่มที่หลอกใช้ชาวบ้านให้มาตายฟรีเท่านั้นเอง
ถ้าคิดว่าสิ่งไหนไม่ใช่ความจริง สิ่งที่น่าจะทำคือการเสนอความจริงโต้แย้งมิใช่หรอกหรือ? เหตุใดพูโลถึงต้องออกแถลงการณ์ประณามข้อมูลอีกฝ่ายว่าเป็นคนวิกลจริตด้วย การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง คือหนทางของผู้วิกลจริตด้วยหรือ?
ใครก็ตามที่ยังหลงเดินตามพูโล วันนี้ควรจะตั้งคำถามกับตัวเองและคนรอบข้างที่ยังหลงผิดได้แล้ว ว่าสิ่งที่พูโลทำ คือ ความจริง หรือ พูโลเป็นเพียงกลุ่มคนขี้ขลาดตาขาวที่ไม่กล้ายอมรับความจริงกันแน่...

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

หายนะและตราบาปแห่งปัตตานี

โอ้ พี่น้องมุสลิมทั้งหลาย พวกเราคือพี่น้องกันจึงต้องว่ากล่าวและตักเตือนกัน ขณะนี้มีผู้อ้างว่าเป็นมุสลิมแต่พยายามทำตัวให้น่ารังเกียจในเหล่าชาวมุสลิม ทำให้ภาพลักษณ์ของมุสลิมและความปลอดภัยของชาวมลายูปาตานีมีความสั่นคลอน พวกเขาใช้กำลังประทุษร้าย ก่อความรุนแรง ต่อชุมชนมุสลิมซึ่งเป็นพี่น้องกันเอง โดยอ้างว่าเป็นการกระทำที่เสียสละเพื่อนำเสรีภาพมาสู่ดินแดนของตน ทั้งที่ทุกวันนี้พวกเราต่างใช้ชีวิตทำมาหากินในดินแดนแห่งนี้อย่างเสรีอยู่แล้ว

พวกเราชาวมุสลิม เหนื่อยกับการกระทำของคนกลุ่มนี้ จึงอยากจะตักเตือนและให้ข้อคิด ว่าสิ่งที่พวกเขากระทำนั้น ไม่ใช่ความต้องการของคนส่วนใหญ่ และสิ่งที่ชุมชนมุสลิมส่วนใหญ่ต้องการคือความอยู่ดีกินดี สงบ สันติ การปกครองกันเอง โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

เรารู้สึกหวั่นใจ หากมีการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน อย่างที่คนเหล่านั้นหาเรื่องมาเพื่อสร้างความวุ่นวายอีก เรากลัวว่า ยกเลิกไปแล้ว ใครจะดูแลความปลอดภัยของพี่น้องทั้งหลาย ถ้ายกเลิก พรก.จะเกิดความวุ่นวายอะไรขึ้นอีกบ้าง?????
อย่างน้อย พรก.ฉุกเฉิน ยังมีประโยชน์เพื่อให้ชาวบ้านพี่น้องมุสลิมใช้ชีวิตอย่างปกติที่สุด ปลอดภัยจากความรุนแรงที่ควบคุมไม่ได้และไม่ปกติ พวกเราชาวบ้านธรรมดาผู้รักความสงบ สันติ จะไปหาอาวุธที่ไหนมาป้องกันตนเองเล่า นอกจากการตักเตือนฉันท์พี่น้อง แต่หากตักเตือนกันแล้วยังไม่ปลอดภัยในชีวิต จงมั่นใจเถิดว่าเจ้าหน้าที่ทหารเท่านั้น ที่มีอาวุธสามารถรับมือการกระทำรุนแรงและโหดร้ายของพวกโจรได้

พวกเราเป็นเพียงชาวบ้านในดินแดนมลายูปาตานี ที่ต้องการความสงบ ปลอดภัย เราต้องการให้กลุ่มโจรเหล่านั้น ยุติการกระทำที่โหดร้ายต่อผู้บริสุทธิ์ เราต้องการให้ผู้กระทำผิด และผู้ปลุกปั่นยุยงให้เกิดความเข้าใจผิดในเหล่ามุสลิมถูกลงโทษ ซึ่ง พรก.ฉุกเฉิน มีประโยชน์ตรงที่สามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้ทันที ส่วนผู้ต้องสงสัยหรือไม่ผิดจะถูกปล่อยตัว หากผู้ใดจากคนกลุ่มใดกล่าวอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการตัดสินโดยศาลของรัฐไทย ขอให้ลองย้อนกลับไปดูการตัดสินคดีความมั่นคงเมื่อ 8 ธ.ค.54 ที่ศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาให้ นายสุกรี อาดำ กับ นายอาหามัดซากี กียะ พ้นผิดโดยการยกฟ้อง ในคดีฆ่าตัดคอ นายจวน ทองประคำ ชาวบ้านไทยพุทธ ตำบลนาประดู่ อำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี เหตุเกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2550

นอกจากนี้ ยังมีองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศเป็นพลังเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพวกเราชาวมลายูปาตานีอีกทางหนึ่งด้วยแล้ว กระบวนการยุติธรรมของคนส่วนใหญ่ คือสิ่งที่พวกเราชาวมุสลิมต้องยอมรับ มิใช่ต่อต้าน ในเมื่อความยุติธรรมยังคงมีอยู่ ถ้าใครเห็นว่าไม่เป็นธรรมก็ฟ้องดำเนินคดีตามหลักเกณฑ์ของศาลได้ แต่การใช้สื่อและลงข้อมูลเท็จบ้างจริงบ้างทำให้คนอื่นหลงเชื่อ เพียงหวังผลในการต่อต้าน พรก. เพื่อให้สามารถใช้ความรุนแรงได้สะดวกแบบนี้ โอ้ พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านรู้หรือไม่ มีการนำเด็กมาทำสัญลักษณ์มือชูนิ้วโป้ง เพื่อสื่อความหมายบางอย่าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าเด็กรู้ความหมายที่ทำหรือไม่ แบบนี้เข้าข่ายไร้จริยธรรม สร้างความเสื่อมเสียให้กับพวกเรามุสลิมส่วนใหญ่

ข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้น ทั้งการซ้อมทรมานพี่น้องของเรา จริงๆ แล้วพบน้อยมาก เป็นเฉพาะบางกรณีเท่านั้น ซึ่งทุกคดีถูกตัดสินอยู่ในชั้นศาล หากอ้างว่ามีทุกกรณีช่วยชี้แจ้งผู้ต้องหาที่ชัดเจนไม่ใช่แค่กล่าวอ้างด้วย การเขียนบทสัมภาษณ์อย่างเลื่อนลอย ไม่มีตัวตนที่ชัดเจนแบบนั้น

โอ้ พี่น้องเอ๋ย เราชาวมุสลิม ไม่นิยมความรุนแรง ไม่อยากเห็นความสูญเสียอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้าน ชาวมลายูปาตานี หรือความสูญเสียของ จนท.รัฐไทย ในพื้นที่ และ ผู้เป็นอาสาสมัคร มันทรมานจิตใจ และหดหู่เหลือเกิน ที่ได้ฟัง ได้ยินข่าว โดยยังไม่สามารถหาคนรับผิดชอบต่อกรณีเหล่านี้ได้ ขออัลเลาะห์เมตตาชี้ทางสว่างคนเหล่านั้นที่ก่อความรุนแรง ให้ยุติการกระทำเสียเถิด ขอความสงบจงกลับคืนสู่ดินแดนมลายูปาตานีโดยเร็ว
อัลลาฮูอัคบาร์