สองสามวันมานี้
ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือนิยายแนวอิงประวัติศาสตร์ที่ข้องเกี่ยวกับประเทศในย่านเอเชียตะวันออก
อย่าง จีน เกาหลี และญี่ปุ่น กล่าวถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งพยายามใช้ข้ออ้างทางประวัติศาสตร์
มาสร้างความชอบธรรมให้กับการสังหารผู้บริสุทธิ์ เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ตามความคลั่งในอุดมการณ์ทางประวัติศาสตร์ของตน
เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ แม้จะเป็นนิยาย แต่กลับทำให้ผมฉุกคิดถึงอะไรได้หลายอย่าง...
...ปัญหาในภาคใต้ของประเทศไทย
จะว่าไปแล้ว ไม่ค่อยแตกต่างจากเรื่องราวในย่อหน้าแรกสักเท่าไร
มีกลุ่มคนที่พยายามอ้างเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ที่พิสูจน์ไม่ได้
เพื่อสร้างให้เกิดความชอบธรรมกับพรรคพวกของตนเอง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านั้นคงจะคิดว่าประวัติศาสตร์ของตนนั้นถูกต้องเสมอ
เมื่อหมกมุ่นอยู่กับประวัติศาสตร์ในมุมมองของตนจนกลายเป็นอุดมการณ์
และเป็นความคลั่งชาติอย่างที่สุด
ความคลั่งชาตินี้เป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก
อย่างที่คุณ สอาด จันทร์ดี อดีตคอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์บ้านเมืองและหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับ
ได้เขียนไว้ในหนังสือ “กะเทาะเปลือกไฟใต้ ใครบงการ?”
ตอนหนึ่งว่า
“การที่ผมได้โอกาสทำงานในดินแดนอันตราย
อยู่ในพื้นที่ด้วยตัวเอง ผมจะต้องแสวงหาความรู้ด้วยตัวเอง
ไม่ใช่นั่งเทียนเขียน ไม่ต้องรอสอบถามจากใคร ผมตระเวนไปเงียบๆ เอาตัวเข้าไปนั่งในร้านอาหาร เอาตัว
ไปหาข่าวในที่ต่างๆ ผมได้รู้ความจริงโดยไม่ยาก เพราะว่าในหมู่บ้านทั้งหลาย เขาพูดกันอย่างไม่ปิดบัง พวก
โจรกับชาวบ้านเขาอยู่ด้วยกัน ปะปนรู้จักหน้าตา รู้ว่าเป็นลูกหลานของใคร ไปเรียนวิชากองโจรมาจาก
ประเทศไหน มีการส่งข่าวประสานงานกันอย่างทั่วถึง และ รวดเร็วมาก ผมรู้ความจริงทุกคนพร้อมรบ ไม่ว่า
จะเป็นหญิงหรือชาย
ไม่ใช่นั่งเทียนเขียน ไม่ต้องรอสอบถามจากใคร ผมตระเวนไปเงียบๆ เอาตัวเข้าไปนั่งในร้านอาหาร เอาตัว
ไปหาข่าวในที่ต่างๆ ผมได้รู้ความจริงโดยไม่ยาก เพราะว่าในหมู่บ้านทั้งหลาย เขาพูดกันอย่างไม่ปิดบัง พวก
โจรกับชาวบ้านเขาอยู่ด้วยกัน ปะปนรู้จักหน้าตา รู้ว่าเป็นลูกหลานของใคร ไปเรียนวิชากองโจรมาจาก
ประเทศไหน มีการส่งข่าวประสานงานกันอย่างทั่วถึง และ รวดเร็วมาก ผมรู้ความจริงทุกคนพร้อมรบ ไม่ว่า
จะเป็นหญิงหรือชาย
“หูผมได้ยินเขาพูดกันว่า เขาฆ่าตัดคอยังน้อยไป แท้ที่จริงจะต้องฆ่าล้างโคตร.......!! ผมตกใจที่ได้ยิน
นึกไม่ถึงเลยว่า ประเทศไทยจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ชาวบ้านถูกฆ่าทิ้งอย่างป่าเถื่อน โจรวางระเบิดสังหารไปทั่ว
ทหารไม่มีวันรู้ดอกว่าใครเป็นโจร แต่โจรสามารถที่จะฆ่าตำรวจทหาร ได้ตลอดเวลา ผมได้รวบรวมความกล้า
ถามเอากับคนที่ควรถาม ถามว่า "เพราะอะไร...?" ได้รับคำตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ เขาบอกว่าเขาไม่ใช่คนไทย
เขาเกลียดคนไทย เขาจะทำอะไรก็ได้ เพื่อจะกวาดล้างคนไทยออกไป แล้วประกาศว่า
เขาคือนักรบ พวกเขาไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย...”
คุณสอาด จันทร์ดี ยังเขียนต่อมาว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้มาจากการทำงานโรงงานแยกแก๊สในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งมีเวลาได้ทำความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือ โทน หรือ “คีย์แมนโทน” ตามการนิยามชื่อของคุณสะอาด
คุณสอาด จันทร์ดี ยังเขียนต่อมาว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้ได้มาจากการทำงานโรงงานแยกแก๊สในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งมีเวลาได้ทำความคุ้นเคยกับคนในพื้นที่ หนึ่งในนั้นคือ โทน หรือ “คีย์แมนโทน” ตามการนิยามชื่อของคุณสะอาด
“คีย์แมนโทน เผยให้ฟังว่า พวกโจรวางแผนแนบเนียนมาก จะใช้วิธีปลดปล่อยชาวบ้านให้พ้นอำนาจรัฐดูแลกันเองไปพลาง
ๆ ก่อน เป็นการหลอกพวกอำนาจรัฐไทยว่า ไม่ได้คิดแบ่งแยกดินแดน
แต่พอถึงจุดชี้ขาด จะใช้พลังชาวบ้าน ๒ ล้านคนรวมตัวกันประกาศปกครองตนเอง จัดตั้งรัฐปัตตานีขึ้น....ผมเชื่อคีย์แมนโทน....เขา
รู้จริง พูดแต่เรื่องจริงให้ฟัง”
รู้จริง พูดแต่เรื่องจริงให้ฟัง”
สิ่งที่คุณสอาดถ่ายทอดออกมานี้ มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง
เมื่อปรากฏแถลงการณ์ฉบับล่าสุดของกลุ่มพูโล
ที่อ้างว่าตัวเองไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายที่ต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดน
แต่กระทำไปเพื่อเสรีภาพของชนชาวมลายูในปัตตานี แถมยังกล่าวอ้างอีกว่า ดินแดนภาคใต้ของไทยคือแผ่นดินโลกที่ไม่สามารถตัดแบ่งได้
และขัดต่อรัฐธรรมนูญไทย ซึ่งพวกเขาไม่ต้องการ
ที่น่าสังเกตก็คือว่า... การออกแถลงการณ์แบบนี้ของพูโล
หากเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามสถานการณ์ หรือไม่มีข้อมูลเชิงลึก คงจะคิดว่า
พูโลนี่เท่เหลือเกิน และทำในสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว หากความจริงเป็นเพียงแค่การแสดงบทบาทพระเอกหน้าจอเพียงเท่านั้นเอง
ไม่ใช่เพราะพูโลนี่หรือที่ปลูกฝังแนวคิดแบบชาตินิยมให้กับคนในพื้นที่จนฝังหัวกลายเป็นคนที่มองไม่เห็นชีวิตคนเป็นคน
และไม่ใช่พูโลนี่หรือที่เคยอวดอ้างว่าควบคุมกองกำลังเกือบทั้งหมดที่เคลื่อนไหวในพื้นที่
พูโลเพียงแค่เล่นตลกหลอกชาวโลกไปวันๆ
ในขณะเดียวกันกลับไม่สะทกสะท้านกับแนวคิดแบบผิดๆ
ของชาวบ้านในพื้นที่ที่เป็นผลพวงมาจากการกระทำของตนเองเลยสักนิดเดียว
ผลพวงนี่แหละคือผลพวงของการปลูกฝังแนวคิดแบบคลั่งชาติ
ชาตินิยมแบบสุดโต่ง ฆ่าได้โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายนั้นมีชีวิตจิตใจ มีเลือดมีเนื้อ
และมีครอบครัวที่จะต้องดูแลเหมือนๆ กัน ...เขียนมาถึงตอนนี้
ทำให้ผมหวนคิดถึงคำสอนของ พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ที่ท่านได้เทศนาไว้ว่า
“ไม่ว่าจะเป็น พุทธ-คริสต์-อิสลาม,
ขวา-ซ้าย, เหลือง-แดง,
อำมาตย์-ไพร่ ก่อนที่เราจะเป็นอะไรพวกนี้
เราเป็นมนุษย์ และความเป็นมนุษย์สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดที่กล่าวมา
เมื่อยึดถืออุดมการณ์อะไรก็ตาม เราก็ควรรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้
และพยายามมองเห็นคนอื่นให้เป็นมนุษย์ด้วย”
ชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งเป็นชาวบ้านจริงๆ
เขาเข้าใจดีในหลักคำสอนแบบพุทธนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นมุสลิม ผมได้รับทราบข้อมูลจากชาวปัตตานีคนหนึ่ง
เขาบอกว่าปัจจุบันอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างไทยพุทธและมุสลิม พักพิงพึ่งพาอาศัยกันเสมือนพี่น้อง
ประเพณีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไม่ได้เป็นอุปสรรค หรือปัญหาของการอยู่ร่วมกันและดำเนินชีวิต เมื่อเทศกาลงานบุญของใครมาถึงก่อน มีการแบ่งปันข้าวปลาอาหารถึงกันและกันโดยมิได้แยกแยะถึงความแตกต่างศาสนาแต่อย่างใด..
เพื่อนๆ ที่เป็นมุสลิมเขาก็ไม่ได้มีความสุขกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า...
เห็นทีจะเหลือแต่กลุ่มพูโลเนี่ยแหละ
เมื่อไหร่จะตักเตือนคนของตัวเอง เมื่อไหร่จะร่วมกันสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้น
เมื่อไหร่จะช่วยอบรมบ่มนิสัยคนที่คิดผิดๆ ให้กลับใจ อยู่ร่วมกับคนอื่นแบบสันติ
ไม่คิดยึดติดในอุดมการณ์จนเกินไป ...
เกินจนไม่เห็นค่าของชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลย.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น